“Sheffield Lab” คือเรื่องราวของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันขึ้นมาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งเพื่อค้นหาวิธีการทำให้เสียงเพลงมี “คุณภาพเสียง” ที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์สามารถทำได้ พวกเขามีเป้าหมายไม่ได้แค่สร้างเพลงขึ้นมา แต่ต้องการใส่จิตวิญญาณของนักดนตรีและผู้เกี่ยวข้องกับงานเพลงเหล่านั้นลงไปในเสียงเพลง ที่พวกเขาบันทึกออกมาด้วย นี่คือเรื่องราวของค่ายเพลงที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มของคนเล่นเครื่องเสียงว่าเป็น “เสาหลัก” สำคัญที่ผลักดันให้วงการเครื่องเสียงขยับเคลื่อนจากยุคบุกเบิก ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด พวกเขาคือค่ายเพลง “Sheffield Lab” ของประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากประสบความล้มเหลวและผิดหวังมาสองถึงสามปี ด้วยทุนทรัพย์ที่เริ่มร่อยหรอ ดั๊ก แซกและลินคอล์น มายอก้าได้ข้อสรุปออกมาว่า พวกเขาจะต้องมีอุปกรณ์ที่ออกแบบขึ้นมาเองหากต้องการบันทึกเสียงให้ได้คุณภาพเสียงจากการบันทึกแบบไม่ผ่านมาสเตอร์เทปออกมาดีที่สุด หลังจากทดลองมานาน พวกเขาเริ่มคุ้นเคยกับความเพี้ยนและความไม่สมบูรณ์แบบของเครื่องไม้เครื่องมือในการบันทึกเสียงที่เป็นแบรนด์อื่นๆ มาพอสมควร นั่นทำให้ห้องทำมาสเตอริ่งของสตูดิโอใหญ่ๆ มีความไม่สมบูรณ์แบบไปด้วย ลินคอล์นสรุปว่า พวกเขาน่าจะหากำไรได้จากการทำธุรกิจมาสเตอริ่งสตูดิโอที่รับงานจากโปรดิวเซอร์อิสระด้วยคุณภาพงานที่สูงกว่า และมีความยืดหยุ่นกว่าในการตัดแผ่นจากมาสเตอร์เทปของพวกเขา นั่นจึงเป็นที่มาของ “The Mastering Lab” ซึ่งเป็นสตูดิโอสำหรับทำมาสเตอริ่งแห่งแรกที่เน้นคุณภาพเสียงเป็นพิเศษ ซึ่งได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศ และด้วยเครืองไม้เครื่องมือที่ใช้ทำธุรกิจนี้ ทำให้พวกเขาสามารถทดลองและปรับปรุงการบันทึกเสียงแบบ direct-to-disc จนทำให้ได้คุณภาพเสียงออกมาในระดับที่ต้องการสำเร็จ
จนได้รับการยกย่อง และกลายเป็น “มาตรฐานอ้างอิง” ของวงการเครื่องเสียง
พวกเขาได้ชื่อ Sheffield มาจากชื่อของทางออกถนนหลวงหมายเลข 101 คือ Sheffield Drive และตัดสินใจที่จะใช้ชื่อนั้นตั้งเป็นชื่อค่ายเพลง และยึดเอาค่าใช้จ่ายในการบันทึกเพลงคลาสสิกเป็นเกณฑ์กำหนดราคาในการรับงาน ตอนแรกที่พวกเขาเริ่มผลิตงานบันทึกเสียงแบบ direct-to-disc ระดับออดิโอไฟล์ พวกเขาตัดสินใจใช้ชื่อ Series งานบันทึกเสียงชุดแรกนี้ว่า Sheffield-Laboratory หลังจากนั้นอีกไม่นานก็มาเป็น Sheffield Lab ที่มีโลโก้เป็นดอกผักบุ้ง
แม้ว่าการบันทึกเสียงแบบ direct-to-disc ที่ใช้เวลา 15 ถึง 20 นาทีในการดึงสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากนักดนตรีที่มีความโดดเด่นจะเต็มไปด้วยความกดดันที่สูงยิ่ง เมื่อเทียบกับการบันทึกเสียงด้วยวิธีมัลติแทรคในสตูดิโอทั่วไปที่ไม่เคร่งเครียดเท่า แต่ก็มีศิลปินหลายคนที่พร้อมรับความท้าทายนั้น และเอาจริงเอาจังกับมัน ช่วงเวลาหลายปีหลังกำเนิด Sheffield Lab ได้มีทั้งซาวนด์เอนจิเนียร์และโปรดิวเซอร์งานเพลงชั้นดีหลายคนนำโปรเจ็กต์ป๊อปและแจ๊สมาผลิตที่ค่าย Sheffield Lab อาทิเช่น Bill Schnee, Larry Brown, Al Schmidt และ George Massenberg เหล่านี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ร่วมบันทึกเสียงด้วยเทคนิค direct-to-disc ที่เชฟฟิลด์ แล็ปคิดค้นขึ้นมา จนทำให้เกิดเป็น “The Sheffield Sound” ในขณะที่ Doug Sax ก็ไปดูแลการบันทึกเสียงเพลงคลาสสิกให้กับวง The Los Angeles Philharmonic, The Moscow Philharmonic และวงแชมเบอร์ขนาดเล็กอีกส่วนหนึ่ง
Sheffied Lab ก้าวสู่ยุคดิจิตัลอย่างสง่างามด้วยฟอร์แม็ต Compact Disc ซึ่งยังคงแสดงความโดดเด่นของเสียงที่ได้จากการบันทึกด้วยเทคนิคที่พวกเขาคิดค้นขึ้นออกมาให้ประจักษ์ได้อย่างชัดเจน เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า การบันทึกเสียงที่ยอดเยี่ยมเป็นอะไรที่สำคัญกว่าฟอร์แม็ตของสื่อที่ใช้เก็บงานเพลง
เนื่องจากค่ายเพลง Sheffield Lab กำเนิดขึ้นในยุคของแผ่นเสียง ดังนั้น ผลงานบันทึกเสียงที่มีคุณค่ามากของค่ายนี้จึงเป็นฟอร์แม็ตแผ่นเสียง โดยเฉพาะงานเพลงเวอร์ชั่นที่บันทึกด้วยเทคนิค “Direct-To-Disc Recordings” และเวอร์ชั่นที่กำกับว่า “Performed Live to Two-Track” ซึ่งในปัจจุบันนี้ แผ่นเสียงเหล่านี้ไม่มีการผลิตใหม่ออกมาอีกแล้ว ที่พอหากันได้ก็มีแต่เฉพาะในตลาดแผ่นเสียงใช้แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ในมือของนักสะสมแผ่นเสียง ส่วนที่มีปล่อยขายออกมาบ้างประปรายก็มีแต่แผ่นที่สภาพไม่สวยและมีราคาสูง
ส่วนเวอร์ชั่นที่ปั๊มออกมาเป็นแผ่น Compact Disc (CD) ทางค่าย Sheffield Lab ก็มีทำออกมาจำหน่ายเกือบครบทุกอัลบั้ม ซึ่งในปัจจุบันทางค่ายก็เลิกผลิตใหม่ออกมาแล้วเช่นกัน แผ่นใหม่เก่าเก็บก็ยังพอหาได้บางเบอร์ ซึ่งคุณสามารถสั่งซื้อได้จากเซ็บไซต์ของ Sheffield Lab เอง (
https://bit.ly/30tb26U) ส่วนแผ่นใช้แล้วพอมีให้หาซื้ออยู่บ้างตามร้านขายแผ่นซีดีมือสองในบ้านเรา ราคาอยู่ในระดับปานกลาง มีเฉพาะบางเบอร์ที่ราคาค่อนข้างสูง
ต่อไปนี้เป็น 4 อัลบั้มที่ควรหามาฟังเพื่อศึกษาความโดดเด่นในการบันทึกเสียงของค่ายเพลงในยุคกลาง ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการบันทึกเสียงที่เน้นคุณภาพเสียงของโลก เป็น 3 อัลบั้มระดับพิมพ์นิยมที่ประสบความสำเร็จสูงสุด และได้รับความนิยมชื่นชอบจากนักฟังเพลงทั่วโลกมากที่สุด และนักฟังเพลงทุกระดับต้องมีไว้ใน Collection ราคาขายในต่างประเทศแพงสุดโต่ง ราคาขายต่างประเทศแพงสุดโต่ง นำมาขายถูกเหลือเชื่อ ประกอบด้วย
1. AMANDA McBROOM ‘Amanda’ 24K Gold Audiophile CD 12 เพลง
เป็น CD แผ่นทอง 24K Gold อัลบั้มร้องเดี่ยวที่หาได้ยากยิ่ง เพราะส่วนใหญ่จะร้องคู่มากกว่า รวบรวมผลงาน 12 เพลงดีที่สุดของ AMANDA McBROOM บันทึกเสียงอย่างสุดยอดในระบบ 20+16 Ultra Matrix Processing รับประกันความยอดเยี่ยมโดย Sheffied Lab Sudio ชื่อดังระดับต้น ๆ ของโลก ที่ได้รับการยกย่องว่า บันทึกเสียงคุณภาพที่ดีที่สุดในโลก